วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การปรับคุณภาพดิน



วิธีการปรับปรุงดิน ได้แก่
1 การใส่ปุ๋ย เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน โดยเติมปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์เป็นปุ๋ยที่ทำจากสิ่งมีชีวิต ช่วยทำให้ดินโปร่งและร่วนซุย แต่ใช้เวลานานกว่าจะสลายตัวให้ธาตุอาหาร ส่วนปุ๋ยเคมี ไม่ช่วยให้ดินโปร่งร่วนซุย แต่จะให้ธาตุอาหารได้ทันที ดังนั้น หากเติมปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีด้วยกันก็จะได้ผลดี
2 การไถพรวนดิน ช่วยทำให้ดินโปร่ง มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ทำให้รากพืชและสิ่งมีชีวิตในดินมีอากาศหายใจ สัตว์ในดินเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเกิดดิน
3 การเติมส่วนประกอบของดินให้มีสัดส่วนเหมาะสม เช่น ดินเหนียว ควรเติมปริมาณส่วนประกอบขนาดทราย ทรายแป้ง ส่วนดินทราย ควรเติมส่วนประกอบขนาดดินเหนียว ทรายแป้ง และเติมอินทรีย์สาร เพื่อให้ดินมีการระบายน้ำที่ดี และอุ้มน้ำได้พอเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช
4 การปลูกพืชหมุนเวียน เช่น พืชตระกูลถั่ว สลับกับพืชหลัก แล้วไถกลบ เพื่อเพิ่มธาตุอาหารไนโตรเจนให้กับดิน และยังช่วยให้ดินโปร่งร่วนซุย

ชั้นของดิน






1. ชั้นดินบน 
หรือเรียกว่า “ชั้นไถพรวน” โดยทั่วไปมีความหนาประมาณ 15-30 ซม. จากผิวหน้าดิน ชั้นดินบนนี้เป็นชั้นที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก เพราะเป็นชั้นที่มีอินทรียวัตถุหรือฮิวมัส สูงกว่าชั้นดินอื่นๆ โดยปกติจะมีสีคล้ำหรือดำกว่าชั้นอื่นๆ รากพืชส่วนใหญ่จะชอนไชหาอาหารอยู่ในช่วงชั้นนี้
2. ชั้นดินล่างเป็นชั้นที่มีอินทรียวัตถุน้อยกว่า รากพืชที่ชอนไชลงมาถึงชั้นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นรากของไม้ผลหรือไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อยึดเกาะดินไว้ให้พืชทรงตัวอยู่ได้ ไม่โค่นล้มลงได้ง่ายเมื่อมีลมพัดแรง
โดยทั่วไปรากพืชเจริญเติบโตและดูดธาตุอาหารเฉพาะในส่วนที่เป็นดินบนและดินล่าง ซึ่งดินแต่ละชนิดมีความลึกไม่เท่ากัน ดินที่ลึกจะมีพื้นที่ให้พืชหยั่งรากและดูดธาตุอาหารได้มากกว่าดินที่ตื้น การปลูกพืชให้ได้ผลดีจึงควรคำนึงถึงความลึกของดินด้วย

ฮิวมัส

ฮิวมัส องค์ประกอบสำคัญของดิน

                                                  ฮิวมัส องค์ประกอบสำคัญของดิน
                                               Humus an essential soil component
      ฮิวมัสคือสิ่งที่ปราศจากชีวิตและเป็นอินทรีย์วัตถุที่ถูกคัดแยกไว้เป็นอย่างดีในดินตามธรรมชาติ เกิดจากการย่อยสลายของซากพืช,หรือสัตว์โดยจุลินทรี  ฮิวมัสจะมีสีแตกต่างกันตั้งแต่ น้ำตาล,น้ำตาลแก่ไปจนถึงดำ ประกอบด้วยคาร์บอนตั้งแต่60%ขึ้นไป ไนโตรเจนตั้งแต่6%ขึ้นไปนอกจานั้นยังมีฟอสฟอรัสและซัลเฟอร์อีกจำนวนเล็กน้อย ขณะที่ฮิวมัสสลายตัวลงองค์ประกอบของมันจะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อพืช


1.มอร์ฮิวมัส (Mor humus) หรือฮิวมัสดิบ เกิดในดินที่มีจุลินทรีย์หรือสัตว์เล็กๆเช่นไส้เดือนดินจำนวนน้อยในการช่วยย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์บนผิวดิน ฮิวมัสประเภทนี้เกิดจากการทำงานทางชีวะวิทยาในดินต่ำ การเกิดอนินทรีย์สารจากอินทรีย์วัตถุ
      2.โมเดอร์ ฮิวมัส (Moder humus) คือฮิวมัสอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะภายนอกอยู่ระหว่าง
มอร์(mor)และมัล(mull)ฮิวมัส  บางครั้งโมเดอร์ถูกเรียกว่ามัลแมลง(insect mull)เพราะลักษณะที่แยกได้อย่างชัดเจนคือการปรากฏแมลงเล็กๆมากมายในชั้นนี้ ห่วงโซ่จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยรวมซากพืชและอณุภาคอนินทรีย์สารหรือแร่ธาตุเข้าด้วยกันเป็นโครงสร้างคล้ายร่างแห 
      3.มัลล์ ฮิวมัส (Mull humus) ก่อตัวในแถบภูมิอากาศอบอุ่นชื้นบริเวณทุ่งหญ้าหรือแถบป่าไม้เนื้อแข็งเป็นฮิวมัสที่มีลักษณะร่วน พรุนย่อยสลายเร็วและผสมเข้ากับอนินทรีย์สารหรือแร่ธาตุในดินได้เป็นอย่างดีจึงไม่เกิดการแยกชั้นที่ชัดเจนและพบมีแบคทีเรีย,ไส้เดือนดินแมลงขนาดที่ใหญ่กว่าในปริมาณมาก เป็นอินทรีย์วัตถุที่ได้ผ่านการแปรสภาพเป็นฮิวมัสได้เป็นอย่างดีด้วยการทำงานร่วมกันของสิ่งมีชีวิตดังกล่าว ฮิวมัสแบบนี้มีฤทธิ์เป็นกลาง(neutral pH) อัตราส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจนใกล้10/1และสามารถเกิดเป็นสารเชิงซ้อนอินทรีย์-แร่ที่เสถียร ฮิวมัสชนิดนี้พบได้ในพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกน้อย




วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การพังทลายของดิน






หมายถึง กระบวนการที่ดินและแร่ธาตุอาหารในดินถูกชะล้าง (Leaching) และพัดพา (Transportation)
โดยปัจจัยในการพังทลาย (Erosive agents) ได้แก่ น้ำ และลมถ้าการพังทลายโดยน้ำ เรียก Water erosion ถ้าการ
พังทลายโดยลมเรียก Wind erosion การพังทลายของดินแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ


1. การพังทลายโดยธรรมชาติ (Geologic or Natural or Normal erosion)

2. การพังทลายดินที่มีตัวเร่ง (Accelerated or Man-made erosion)ปัจจัยการพังทลายของดิน (Factors effecting to soil erosion)



ปัจจัยที่ทำให้เกิดการพังทลายของดินมี ดังนี้คือ

1. แผ่นดินไหว เป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เราไม่อาจควบคุมได้ การเกิดแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง มักมีผลกระทบกระเทือนต่อดิน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่น เกิดดินแตกแยก และถล่มง่ายต่อการกัดเซาะและพัดพา

2. แรงโน้มถ่วงของโลก เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดการพังทลายของดิน พบได้จากบริเวณที่มีความลาดชันสูง
เมื่อมีฝนตกหนักจนดินอิ่มตัว ทำให้แรงยึดตัวของดินมีน้อยกว่าแรงโน้มถ่วงของโลก ดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำจะเคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตามแรงดึงดูดของโลก เกิดดินเลื่อนหรือแผ่นดินถล่ม เป็นต้น


3. มนุษย์และสัตว์ มนุษย์เป็นสาเหตุทางอ้อม เป็นผู้เร่งให้การพังทลายของดินเกิดรุนแรงยิ่งขึ้น โดยการใช้ที่ดินปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร หากการใช้ดินนั้นขาดความระมัดระวังหรือใช้อย่างรุนแรงเกินไป จะส่งผลให้ดินมีการพังทลายมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ถางป่า เพื่อใช้ทำการเกษตร ดินจะถูกกระทบจากแสงแดด น้ำและลม โดยไม่มีสิ่งใดปกคลุม การกัดเซาะและการพัดพาจะเกิดได้มากและรวดเร็วขึ้น นับว่ามนุษย์มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเกิดการพังทลายของดิน


4. น้ำ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง เมื่อมีฝนตกลงมา แรงกระทบของเม็ดฝนกับดิน จะทำให้ก้อนดินแตกออกเป็นอนุภาคเล็กๆ พร้อมที่จะถูกพัดพาไปที่อื่น ถ้ามีฝนตกมาก น้ำฝนจะรวมตัวกัน และไหลลงสู่ที่ต่ำแรงของน้ำที่เสียดสีไปกับดิน จะทำให้ดินแตกและถูกพัดพาไปด้วยการสูญเสียดิน เกิดจากน้ำมีมากที่สุด

5. ลม ความแรงและความเร็วของลม เป็นสาเหตุทำให้ดินพังทลายได้ เกิดขึ้นมากกับดินที่อยู่ในที่โล่งบริเวณกว้าง ไม่มีสิ่งกำบังเช่น ในทะเลทรายความรุนแรงของการสูญเสียดินขึ้นอยู่กับความแรงของลม หรือสิ่งกีดขวาง หรือสิ่งกำบัง


วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทรัพยากรดิน





ทรัพยากรดิน

          ดินหมายถึง เทหวัตถุธรรมชาติที่ปกคลุมผิวโลก เกิดจากการแปรสภาพหรือสลายตัวของหินแร่ธาตุ และอินทรีย์วัตถุผสมคลุกเคล้ากันตามธรรมชาติรวมกันเป็นชั้นบาง ๆ เมื่อมีน้ำและอากาศที่เหมาะสมก็จะทำให้พืชเจริญเติบโตและยังชีพอยู่ได้

          เนื่องจากภาคตะวันตกส่วนใหญ่เป็นเขตเทือกเขาสูง เพราะฉะนั้นวัตถุแม่ดิน หรือแหล่งกำเนิดดินต้องเกิดจากการสลายตัวของหินที่เป็นกรด ดังนั้นดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ค่อนข้างต่ำ ดินชนิดนี้ เรียกว่า ดินเรดเยลโล-พอดโซลิก (Red-yellow Podzolic Soils) ดินชนิดนี้ มีในเขตภูเขาที่เป็นกรด ส่วนในเขตที่มีหินปูน เช่น บริเวณเทือกเขาในเขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และบริเวณปลายเทือกเขาถนนธงชัยระหว่างแม่น้ำแควใหญ่กับแควน้อยจะเป็นพวกเรด-บราวด์ เอิท (Red-Brown earth) นอกจากนั้นยังมีดินที่เกิดจากการสลายตัวของสารหรือ หินภูเขาไฟ เราเรียกว่า ดินภูเขาไฟ ได้แก่พื้นที่บริเวณจังหวัดตาก เขตอำเภออุ้มผาง ที่ราบลุ่มน้ำแควน้อย เขตอำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ อำเภอไทรโยค และบริเวณแก่งกระจาน เป็นต้น 

           ในด้านสมรรถนะของที่ดินในภาคตะวันตกปรากฏว่าพื้นที่เหมาะสำหรับการปลูกพืชไร่ มีประมาณ 25 % ของเนื้อที่ภาค ทำนา 5% ที่เหลือ 70 % ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เพราะเป็น ที่ลาดชันมาก


ความสำคัญของทรัพยากรดิน

          ดินมีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือ
               1. ใช้ในการเกษตรกรรม ดินเป็นต้นกำเนิดของการเกษตรกรรม เป็นแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ อาหารที่มนุษย์เราบริโภคทุกวันนี้มาจากการเกษตรกรรมถึง 90 %
               2. ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ พืชและหญ้าที่ขึ้นอยู่บนดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ ตลอดจนเป็น แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์บางชนิด เช่น งู หนู แมลง นาก ฯลฯ
               3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย พื้นดินเป็นแหล่งที่ตั้งของเมือง บ้านเรือน ทำให้เกิดวัฒนธรรม และอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย 
               4. เป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ถ้าน้ำซึ่งอยู่ในรูปของความชื้นในดินมีอยู่มาก ๆ ก็จะกลายเป็นน้ำซึมอยู่ในดิน คือน้ำใต้ดิน น้ำเหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมลงที่ต่ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ทำให้เรามีน้ำใช้ตลอดปี 

ประโยชน์ของดิน 
     ดินมีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือ 
          1. ประโยชน์ต่อการเกษตรกรรม เพราะดินเป็นต้นกำเนิดของการเกษตรกรรมเป็นแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ ในดินจะมีอินทรียวัตถุและธาตุอาหารรวมทั้งน้ำที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช อาหารที่คนเราบริโภคในทุกวันนี้มาจากการเกษตรกรรมถึง 90% 
          2. การเลี้ยงสัตว์ ดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ทั้งพวกพืชและหญ้าที่ขึ้นอยู่ ตลอดจนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์บางชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯลฯ 
          3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แผ่นดินเป็นที่ตั้งของเมือง บ้านเรือน ทำให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย 
          4. เป็นแหล่งเก็บกักน้ำ เนื้อดินจะมีส่วนประกอบสำคัญ ๆ คือ ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำซึ่งอยู่ในรูปของความชื้นในดินซึ่งถ้ามีอยู่มาก ๆ ก็จะกลายเป็นน้ำซึมอยู่คือน้ำใต้ดิน น้ำเหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมลงที่ต่ำ เช่น แม่น้ำลำคลองทำให้เรามีน้ำใช้ได้ตลอดปี


ชนิดของดิน 



     อนุภาคของดินจะรวมตัวกันเข้าเกิดเป็นเม็ดดิน อนุภาคเหล่านี้จะมีขนาดไม่เท่ากัน ขนาดเล็กที่สุดคืออนุภาคดินเหนียว อนุภาคขนาดกลางเรียกอนุภาคทรายแป้ง อนุภาคขนาดใหญ่เรียกว่า อนุภาคทรายเนื้อดิน จะมีอนุภาคทั้ง 3 กลุ่มนี้ผสมกันอยู่ในสัดส่วนที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดลักษณะของดิน 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ดินเหนียว ดินทราย และดินร่วน
           1. ดินเหนียว เป็นดินที่เมื่อเปียกแล้วมีความยืดหยุ่น อาจปั้นเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้เหนียวเหนอะหนะติดมือ เป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี มีความสามารถในการจับยึดและแลกเปลี่ยนธาตุอาหารพืชได้สูง หรือค่อนข้างสูง เป็นดินที่มีก้อนเนื้อละเอียด เพราะมีปริมาณอนุภาคดินเหนียวอยู่มาก เหมาะที่จะใช้ทำนาปลูกข้าวเพราะเก็บน้ำได้นาน

          2. ดินทราย เป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศดีมาก มีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เพราะความสามารถในการจับยึดธาตุอาหารพืชมีน้อย พืชที่ชั้นบนดินทรายจึงมักขาดทั้งอาหารและน้ำเป็นดินที่มีเนื้อดินทรายเพราะมีปริมาณอนุภาคทรายมาก

          3. ดินร่วน เป็นดินที่มีเนื้อดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือ ยืดหยุ่นได้บ้าง มีการระบายน้ำได้ดีปานกลาง จัดเป็นเนื้อดินที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกในธรรมชาติมักไม่ค่อยพบ แต่จะพบดินที่มีเนื้อดินใกล้เคียงกันมากกว่า

สีของดิน สีของดินจะทำให้เราทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ปริมาณอินทรียวัตถุที่ปะปนอยู่และแปรสภาพเป็นฮิวมัสในดิน ทำให้สีของดินต่างกันถ้ามีฮิวมัสน้อยสีจะจางลงมีความอุดมสมบูรณ์น้อย